ดวงอาทิตย์ปะทุอีก คราวนี้ระดับ X
เมื่อเช้า 23 ต.ค.ที่ผ่านมาดวงอาทิตย์ของเราได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงระดับ X ซึ่งได้ปลดปล่อยรังสีสู่อวกาศ และได้กลายเป็นสาเหตุของการรบกวนวิทยุคลื่นสั้นบนโลกไปเรียบร้อยแล้ว แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบอื่นต่อโลกรุนแรง เพราะไม่มีการพ่นมวลโคโรนาออกมาด้วย
สเปซด็อทคอมอ้างถึงรายงานจากนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติงานในส่วนหอดูดาวโซลาร์ไดนามิกส์ (Solar Dynamics Observatory) หรือ SDO ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ว่าการปะทุดังกล่าวคือการลุกจ้า (flare) ที่เกิดขึ้นจากจุดมืดชื่อ AR 11598 (ซึ่งย่อมาจาก Active Region 11598) โดยเปล่งแสงสว่างสุดเมื่อเวลา 10.22 น.ของวันที่ 23 ต.ค.2012 ตามเวลาประเทศไทย
ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้กล้องความละเอียดสูงที่ติดตั้งบนหอดูดาวอวกาศ SDO เพื่อจับตาดูดวงอาทิตย์ และได้พบการลุกจ้าที่รุนแรงถึง X 1.8 ซึ่งอยู่ในระดับการลุกจ้าที่รุนแรงที่สุดของดวงอาทิตย์ ตามการอ้างอิงจากศูนย์พยากรณ์สภาพอวกาศสหรัฐ (Space Weather Prediction Center: SWPC)
เพียง 2 วันรับแต่มองเห็นจุดมืดดังกล่าวได้จากบนโลก ก็มีการลุกจ้ารุนแรงก่อนครั้งนี้แล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่ง โทนี ฟิลลิปส์ (Tony Phillips) ได้เขียนอธิบายผ่านเว็บไซต์ Spaceweather.com ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงว่าอาจจะเกิดการลุกจ้าอีกมากตามมา และจะพุ่งตรงมายังโลกมาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจุดมืดหันมายังโลกของเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
การลุกจ้านั้นมีสาเหตุจากกิจกรรมแม่เหล็กที่รุนแรงขึ้นในตำแหน่งที่เรียกว่า “จุดมืด” (sunspot) บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ และนักวิทยาศาสตร์ไดัวัดความแรงของการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ในรูปพลังงานที่ปล่อยออกมา โดยระดับ X (X-class) นั้นเป็นพายุสุริยะที่มีพลังมากที่สุด กลางลงมาคือระดับ M ซึ่งพลังจากการลุกจ้าระดับนี้ทำให้เกิดแสงเหนือที่ขั้วโลกได้เมื่อการลุกจ้าพุ่งตรงมายังโลก และระดับ C ซึ่งเป็นการลุกจ้าที่มีพลังน้อยที่สุดและมีผลกระทบต่อโลกเพียงเล็กน้อย
สำหรับการจุกจ้าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ถูกบันทึกได้ทั้งภาพนิ่งและภาพวิดีโอโดยกล้อง SDO ซึ่งปรากฏเป็นแ สงวาบสีขาวออกมาจากดวงอาทิตย์ แต่การลุกจ้าที่เกิดขึ้นนี้เป็นการปะทุบนดวงอาทิตย์อย่างสั้นๆ ที่เรียกว่า “การลุกจ้าอย่างทันทีทันใด” (impulsive flare) ซึ่งเป็นประเภทตรงข้ามกับการลุกจ้าอีกประเภทที่เรียกว่า “การลุกจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป” (gradual flare)
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของ SWPC แจ้งอย่างเป็นทางการว่าการปะทุอย่างทันทีทันใดนั้นไม่สัมพันธ์กับสภาพอวกาศที่รุนแรง และบริเวณที่เกิดการลุกจ้านี้ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะหันมาประจันหน้ากับโลกโดยตรง แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสที่จะเกิดกิจกรรมการลุกจ้าก็ยังมีอยู่ต่อไป ซึ่งเราต้องคอยจับตาดูเอาไว้เมื่อบริเวณดังกล่าวเข้ามาอยู่ในกรอบการสังเกต
การลุกจ้าของดวงอาทิตย์นั้นมักพ่นก้อนพลาสมามีประจุหรือที่เรียกว่า “การพ่นมวลโคโรนา” (coronal mass ejection) สู่อวกาศ ซึ่งเมื่อก้อนมวลเหล่านั้นปะทะโลก จะทำให้เกิดพายุสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetic storm) ซึ่งรบกวนการสื่อสารวิทยุ และการส่งกระแสไฟฟ้า แต่ก็สร้างแสงเหนือ (northern light) และแสงใต้ (southern light) หรือออโรรา (aurora) ที่สวยงามประดับฟ้า
หากแต่การลุกจ้าระดับ X1.8 ครั้งนี้ไม่ได้มีพ่นมวลโคโรนาออกมาด้วย ดังนั้น จึงพยากรณ์ได้ว่าการลุกจ้าครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกเพียงเล้กน้อย และไม่ทำให้เกิดแสงออโรราที่สวยงามนัก ถึงอย่างนั้นการปลดปล่อยรังสีจากการลุกจ้าครั้งนี้ก็มีพลังมากพอที่จะรบกวนการสื่อสารวิทยุบนโลก ซึ่งเกิดขึ้นไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ของเรากำลังตื่นตัวมากขึ้นๆ และจะเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งถึงจุดสูงสุดของกิจกรรมทางแม่เหล็กในปี 2013 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นสูงสุดและน้อยลงต่ำสุดภายในรอบ 11 ปี โดยวัฏจักรปัจจุบันของดวงอาทิตย์เรียกว่า “วัฏจักรสุริยะ 24” (Solar Cycle 24) นับแต่มีการเริ่มนับวัฏจักรสุริยะเมื่อปี 1755
เข้าชม : 1840
|