วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (World Wetlands Day) ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2514 นานาชาติได้ร่วมยกร่างและลงนามในการรับรอง “อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศโดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของนกน้ำ” ขึ้น ณ เมือง Ramser ประเทศอิหร่าน อนุสัญญาเป็นรู้จักในนาม อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 เป็นประเทศลำดับที่ 110
ในปีพ.ศ. 2569 จัดกิจกรรมภายใต้หัวข้อ
“พื้นที่ชุ่มน้ำและภูมิปัญญาดั้งเดิม : การเฉลิมฉลองมรดกทางวัฒนธรรม”
“Wetlands and traditional knowledge : celebrating cultural heritage”
คำจำกัดความตามอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (ในมาตรา 1.1 และมาตรา 2.1 ของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ) กล่าวว่า “พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) หมายถึง ที่ลุ่ม ที่ราบลุ่ม ที่ชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขัง หรือ น้ำท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง และน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเล และที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุด มีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร”
คุณค่าโดยรวมของพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้แก่ การเป็นแหล่งน้ำ แหล่งกักเก็บน้ำฝน และน้ำท่า ป้องกันน้ำเค็มมิให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ป้องกันชายฝั่งพังทลาย ดักจับตะกอนและแร่ธาตุ ดักจับสารพิษ เป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติที่มนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์ มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร ความสำคัญด้านนันทนาการและการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นระบบนิเวศที่มีบทบาทหน้าที่ ตลอดจนคุณค่าและความสำคัญต่อวิถีชีวิตทั้งของมนุษย์ พืช และสัตว์ ทั้งทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งในระบบท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
 Happy World Wetlands Day!
วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก อีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความหลากหลายของระบบนิเวศมากที่สุด
พื้นที่ชุ่มน้ำคืออะไร ?
เป็นพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำหรือชุ่มไปด้วยน้ำตามฤดูกาล อาจเกิดจากน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาจากชั้นหิน หรืออาจมาจากแม่น้ำ ทะเล หรือทะเลสาบบริเวณใกล้เคียง เป็นได้ทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำน้ำจืด พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง และพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีทั้งระบบนิเวศน้ำจืดและชายฝั่งเข้าด้วยกัน ทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้น เมื่อระดับน้ำลดลงต่ำสุดต้องมีความลึกไม่เกิน 6 เมตร ถือเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด
และเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของพืชและสัตว์นานาชนิด พื้นที่ทำรังวางไข่ แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำ อีกทั้งยังเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ป้องกันน้ำท่วม ลดการพังทลายหน้าดิน ช่วยควบคุมการไหลเวียนของน้ำไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน และคงความสมดุลของทรัพยากรทางชีวภาพไว้
รวมถึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ และเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่าง นก นาก แมวดาว และสัตว์ป่าที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวเท่านั้นอย่าง ‘เสือปลา’
ปัจจุบันทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำรวมกันประมาณ 8.3-10.2 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.6-2.0 ของพื้นที่โลก และในประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างน้อย 36,616.16 ตารางกิโลเมตร หรือ 22,885,100 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 7.5 ของพื้นที่ประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงพื้นที่หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินจากพื้นที่ป่าละเมาะเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ชุมชนเมือง นิคมอุสาหกรรม ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างสาธาณูปโภคต่าง ๆ ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมที่เพิ่มขึ้นและทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินมนุษย์ รวมถึงการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยของพืชพันธุ์และสัตว์ป่า และทำลายความหลากหลายทางชีวภาพในที่สุด
อ้างอิง
ที่มา : www.seub.or.th/bloging/knowledge/2024-26/ ( มูลนิธินาคะเสถียร)
เข้าชม : 4
|