[x] ปิดหน้าต่างนี้
 
 

เนื้อหา : สาระน่ารู้พัฒนาทักษะชีวิต
หมวดหมู่ : ทดสอบหมวดหมู่
หัวข้อเรื่อง : ที่มาของคำขวัญ จังหวัดเชียงใหม่

จันทร์ ที่ 15 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2566


 ที่มาของคำขวัญจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มปี พ.ศ.๒๕๓๒(๒)
                      คำขวัญประจำจังหวัดเชียงใหม่ คือ “ดอยสุเทพเป็นศรี  ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์”
           คำขวัญนี้เริ่มเชิญชวนให้ประชาชนทั่วประเทศส่งคำขวัญเข้าร่วมประกวดระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม-๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒ และตัดสินในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๒ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์สถาบันการศึกษาต่างๆ ร่วมตัดสิน
ผลการตัดสินคณะกรรมการเลือกคำขวัญของนายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ ชาวเมืองเชียงใหม่ชนะเลิศจากคำขวัญที่ส่งทั้งสิ้น ๑,๕๖๖ คำขวัญและใช้คำขวัญนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
           ประวัติผู้แต่งคำขวัญประจำจังหวัดเชียงใหม่ คือ นายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ ปัจจุบันอายุ ๖๓ ปีเกิดปี พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวน ๗ คนของนายตึ๊ง  แซ่นิ้มและนางนวล สกุลเดิม ยะจา ครอบครัวมีอาชีพค้าขายโดยบิดาเปิดร้านอาหารจีนชื่อร้านศรีสุมิตร เดิมตั้งอยู่ที่ชั้นสองของตลาดเจ๊กโอ๊ว(ตลาดนวรัฐ)ต่อมาย้ายมาที่ถนนราชมรรคาและถนนลอยเคราะห์
            วัยเด็กนายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนศรีวิทยา ถนนเจริญเมือง ต่อมาเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๕ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังจากนั้นไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลจบระดับ ปวส. หลังจากนั้นออกมาช่วยครอบครัวค้าขายโดยดูแลกิจการร้านศรีสุมิตรแทนบิดาที่เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗
            นายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ เล่าเรื่องการส่งคำขวัญเข้าประกวดในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ว่า
 “ตอนนั้นผมทำงานดูแลร้านศรีสุมิตรแทนพ่อ ร้านตั้งอยู่ถนนลอยเคราะห์  ตอนค่ำวันหนึ่งนั่งดูข่าวโทรทัศน์ช่อง ๘ รายงานข่าวว่าจังหวัดเชียงใหม่จะรับเป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติในปีถัดไปแต่ยังไม่มีคำขวัญประจำจังหวัดจึงเชิญชวนส่งคำขวัญเข้าร่วมประกวด  ขณะนั้นว่างๆ อยู่จึงตัดสินใจแต่งคำขวัญเพื่อส่งเข้าประกวด  โดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับรางวัล  จำได้ว่าคิดคำขวัญ ๒ คำขวัญส่งเข้าประกวด คือ ดอยสุเทพเป็นศรี  ประเพณีงามสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์  ส่วนอีกคำขวัญหนึ่งขึ้นต้นด้วย ดอยสุเทพเลื่องลือ จำข้อความอื่นไม่ได้
           “แต่งคำขวัญแล้วก็ส่งทางไปรษณีย์ไปที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่แล้วไม่คิดว่าจะได้รางวัล  วันหนึ่งนั่งชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ(จังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพ)  พิธีการเชิญตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในปีต่อไปมารับธง  มีผู้เชิญธง ๔ ผืนและตามมาด้วยคนถือป้ายคำขวัญจังหวัด  อ่านดูก็แปลกใจว่าเป็นคำขวัญที่เราเป็นคนแต่ง  ขณะนั้นยังไม่คิดว่าคำขวัญที่เราแต่งได้รับการคัดเลือกแล้ว  จนอีก ๒ วันต่อมามีหนังสือส่งทางไปรษณีย์มาจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่าได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดคำขวัญและเชิญไปรับรางวัลที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ ๒๗ เมษายน  
           “ถึงวันดังกล่าวก็ไปรับ วันนั้นมีการประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด  ประธานคือรองผู้ว่าราชการจังหวัด  ต่อมาเจ้าหน้าที่เชิญเข้าไปห้องประชุมและรับรางวัลจากรองผู้ว่าราชการจังหวัด  รางวัลเป็นโล่และเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เรื่องเงินรางวัลจำได้ว่าเดิมทางจังหวัดตั้งรางวัลชนะเลิศไว้ ๑๐,๐๐๐ บาทต่อมาสมาคมธนาคารเพิ่มรางวัลให้อีก ๑๐,๐๐๐ บาท หลังจากรับแล้วมีการถ่ายภาพและโทรทัศน์ช่อง ๘ มาสัมภาษณ์
            “หลังจากได้รับรางวัลชนะเลิศแต่งคำขวัญแล้ว  เพื่อนที่ทราบข่าวก็แสดงความยินดีรวมทั้งคนในตลาดพบหน้าก็แสดงความยินดีด้วย  เงินรางวัล ๒๐,๐๐๐ บาทนำไปทำบุญทั้งหมด  โดยไปทำบุญที่วัดทางจังหวัดลำพูนหลายวัดสร้างวิหาร ห้องน้ำ กำแพงวัด”
 ด้านแนวความคิดในการแต่งคำขวัญจังหวัดเชียงใหม่จนได้รับรางวัลชนะเลิศนั้น นายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ให้ข้อมูลว่า
             “แนวความคิดแรกคือ สิ่งสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่คือดอยสุเทพ  จึงนำดอยสุเทพมาขึ้นต้น เป็นที่มาของคำว่า ดอยสุเทพเป็นศรี  คำว่า ศรี นั้นมีที่มาว่าก่อนหน้านั้นจังหวัดเชียงใหม่จัดทำราชรถสำหรับใช้ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ขึ้นใหม่แทนราชรถเก่าที่ทรุดโทรมลง  ติดตามข่าวทราบว่ามีการประกวดตั้งชื่อราชรถและเลือกชื่อว่า สะหลีเมืองเชียงใหม่  เวลาที่นำราชรถแห่พระพุทธสิหิงค์ในวันปีใหม่เมืองก็จะติดป้ายชื่อนี้ที่บริเวณล้อ สนใจคำว่าสะหลีเมื่อเปิดพจนานุกรมดูความหมายเดียวกับคำภาคกลางที่ว่า ศรี จึงนำมาใช้ต่อจากคำว่าดอยสุเทพ  เป็นที่มาของคำว่า ดอยสุเทพเป็นศรี
            “เอกลักษณ์ของเชียงใหม่อีกอย่างหนึ่งคือ มีประเพณีที่ใหญ่และงดงามเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวกันมาก จึงนำคำว่าประเพณีมาเป็นบรรทัดที่สอง คือ ประเพณีเป็นสง่า
             “ส่วนคำว่าบุปผชาติล้วนงามตานั้น  สมัยนั้นเชียงใหม่จัดงานไม้ดอกไม้ประดับมีชื่อเสียงแล้วแต่เรียกชื่อว่า งานบุปผชาติ รถที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ก็เรียก รถบุปผชาติ  คำว่าบุปผชาติจึงเป็นคนที่นิยมและสื่อความหมายที่สวยงาม  จำได้ว่าเข้าเรียนวิทยาลัยเทคโนฯปีแรก พ.ศ.๒๕๑๙ มีโอกาสมาชมขบวนรถบุปผชาติที่สวนบวกหาด
            “นอกจากนี้เชียงใหม่ขณะนั้นมีชื่อเสียงเรื่องดอกไม้มาก  นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวดอยสุเทพในหน้าหนาวจะไปเที่ยวต่อที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ชมแปลงดอกกุหลาบที่สวยงาม  มีหลายพันธ์หลายสีและหลายกลิ่น ใครได้ไปชมก็ตื่นตาตื่นใจมาก  นอกจากนี้แหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่ารีสอร์ทก็ปลูกไม้ดอก เช่น แม่สาวาเลย์อำเภอแม่ริม  ส่วนลัดดาแลนด์ขณะนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยมไปเที่ยว  ด้านในมีแปลงไม้ดอกที่สวยงาม  ด้วยเหตุนี้จึงนำคำว่า บุปผชาติมาใช้ในบรรทัดที่ ๓ คือ บุปผชาติล้วนงามตา
                “บรรทัดที่ ๔ คือ นามล้ำค่านครพิงค์  คำว่า นครพิงค์เป็นคำที่ได้ยินบ่อย มักใช้เรียกรวมว่านครพิงค์เชียงใหม่  จึงนำคำนี้มาปิดท้าย 
            “ใช้เวลาแต่ง ๓ วัน เขียนลงในกระดาษและแต่งเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมยามที่ว่าง  หากนึกยังไม่ออกก็ทำงานต่อ  ว่างก็มาคิดเพิ่มจนพอใจแล้วจึงส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัล มีความภาคภูมิใจที่คำขวัญที่เราแต่งได้ใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องมา”
 ปัจจุบันนายสุพจน์  นิ่มรัตนพันธ์ ทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมโดยเป็นไวยาวัจกรวัดผ้าขาวที่อยู่ใกล้บ้าน.
      พล.ต.ต.อนุ  เนินหาด เรียบเรียง



เข้าชม : 814


ทดสอบหมวดหมู่ 5 อันดับล่าสุด

      สาระน่ารู้ เนื่องในวันสำคัญ 4 / ธ.ค. / 2566
      จดหมายข่าวฉบับที่ 3 ประจำวันที่ 3-10-66 4 / ต.ค. / 2566
      จดหมายข่าวฉบับที่ 2 ประจำวันที่ 3-10-66 4 / ต.ค. / 2566
      OOCC ผลิตภัณฑ์ ชุมชน สกร.อำเภอเมืองเชียงใหม่ 22 / ก.ย. / 2566
      กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ 23 / มิ.ย. / 2566


 
ห้องสมุดประชาชนจังหวัด  จังหวัดเชียงใหม่ 
ที่อยู่
ถ.หัสดิเสวี ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50300
โทรสาร
053-221159 E-mail : nfelibrarycmi@gmail.com
Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.05HD  Update by   นายบุญมา มาดี