ที่มาของคำขวัญจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มปี พ.ศ.๒๕๓๒(๒)
คำขวัญประจำจังหวัดเชียงใหม่ คือ “ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์”
คำขวัญนี้เริ่มเชิญชวนให้ประชาชนทั่วประเทศส่งคำขวัญเข้าร่วมประกวดระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม-๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒ และตัดสินในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๒ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์สถาบันการศึกษาต่างๆ ร่วมตัดสิน
ผลการตัดสินคณะกรรมการเลือกคำขวัญของนายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ ชาวเมืองเชียงใหม่ชนะเลิศจากคำขวัญที่ส่งทั้งสิ้น ๑,๕๖๖ คำขวัญและใช้คำขวัญนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติผู้แต่งคำขวัญประจำจังหวัดเชียงใหม่ คือ นายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ ปัจจุบันอายุ ๖๓ ปีเกิดปี พ.ศ.๒๕๐๓ เป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวน ๗ คนของนายตึ๊ง แซ่นิ้มและนางนวล สกุลเดิม ยะจา ครอบครัวมีอาชีพค้าขายโดยบิดาเปิดร้านอาหารจีนชื่อร้านศรีสุมิตร เดิมตั้งอยู่ที่ชั้นสองของตลาดเจ๊กโอ๊ว(ตลาดนวรัฐ)ต่อมาย้ายมาที่ถนนราชมรรคาและถนนลอยเคราะห์
วัยเด็กนายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ เข้าเรียนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนศรีวิทยา ถนนเจริญเมือง ต่อมาเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๕ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังจากนั้นไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลจบระดับ ปวส. หลังจากนั้นออกมาช่วยครอบครัวค้าขายโดยดูแลกิจการร้านศรีสุมิตรแทนบิดาที่เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗
นายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ เล่าเรื่องการส่งคำขวัญเข้าประกวดในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ว่า
“ตอนนั้นผมทำงานดูแลร้านศรีสุมิตรแทนพ่อ ร้านตั้งอยู่ถนนลอยเคราะห์ ตอนค่ำวันหนึ่งนั่งดูข่าวโทรทัศน์ช่อง ๘ รายงานข่าวว่าจังหวัดเชียงใหม่จะรับเป็นเจ้าภาพกีฬาแห่งชาติในปีถัดไปแต่ยังไม่มีคำขวัญประจำจังหวัดจึงเชิญชวนส่งคำขวัญเข้าร่วมประกวด ขณะนั้นว่างๆ อยู่จึงตัดสินใจแต่งคำขวัญเพื่อส่งเข้าประกวด โดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับรางวัล จำได้ว่าคิดคำขวัญ ๒ คำขวัญส่งเข้าประกวด คือ ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีงามสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์ ส่วนอีกคำขวัญหนึ่งขึ้นต้นด้วย ดอยสุเทพเลื่องลือ จำข้อความอื่นไม่ได้
“แต่งคำขวัญแล้วก็ส่งทางไปรษณีย์ไปที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่แล้วไม่คิดว่าจะได้รางวัล วันหนึ่งนั่งชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ(จังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพ) พิธีการเชิญตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพในปีต่อไปมารับธง มีผู้เชิญธง ๔ ผืนและตามมาด้วยคนถือป้ายคำขวัญจังหวัด อ่านดูก็แปลกใจว่าเป็นคำขวัญที่เราเป็นคนแต่ง ขณะนั้นยังไม่คิดว่าคำขวัญที่เราแต่งได้รับการคัดเลือกแล้ว จนอีก ๒ วันต่อมามีหนังสือส่งทางไปรษณีย์มาจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่าได้รับรางวัลชนะเลิศประกวดคำขวัญและเชิญไปรับรางวัลที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ ๒๗ เมษายน
“ถึงวันดังกล่าวก็ไปรับ วันนั้นมีการประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด ประธานคือรองผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาเจ้าหน้าที่เชิญเข้าไปห้องประชุมและรับรางวัลจากรองผู้ว่าราชการจังหวัด รางวัลเป็นโล่และเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เรื่องเงินรางวัลจำได้ว่าเดิมทางจังหวัดตั้งรางวัลชนะเลิศไว้ ๑๐,๐๐๐ บาทต่อมาสมาคมธนาคารเพิ่มรางวัลให้อีก ๑๐,๐๐๐ บาท หลังจากรับแล้วมีการถ่ายภาพและโทรทัศน์ช่อง ๘ มาสัมภาษณ์
“หลังจากได้รับรางวัลชนะเลิศแต่งคำขวัญแล้ว เพื่อนที่ทราบข่าวก็แสดงความยินดีรวมทั้งคนในตลาดพบหน้าก็แสดงความยินดีด้วย เงินรางวัล ๒๐,๐๐๐ บาทนำไปทำบุญทั้งหมด โดยไปทำบุญที่วัดทางจังหวัดลำพูนหลายวัดสร้างวิหาร ห้องน้ำ กำแพงวัด”
ด้านแนวความคิดในการแต่งคำขวัญจังหวัดเชียงใหม่จนได้รับรางวัลชนะเลิศนั้น นายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ให้ข้อมูลว่า
“แนวความคิดแรกคือ สิ่งสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่คือดอยสุเทพ จึงนำดอยสุเทพมาขึ้นต้น เป็นที่มาของคำว่า ดอยสุเทพเป็นศรี คำว่า ศรี นั้นมีที่มาว่าก่อนหน้านั้นจังหวัดเชียงใหม่จัดทำราชรถสำหรับใช้ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ขึ้นใหม่แทนราชรถเก่าที่ทรุดโทรมลง ติดตามข่าวทราบว่ามีการประกวดตั้งชื่อราชรถและเลือกชื่อว่า สะหลีเมืองเชียงใหม่ เวลาที่นำราชรถแห่พระพุทธสิหิงค์ในวันปีใหม่เมืองก็จะติดป้ายชื่อนี้ที่บริเวณล้อ สนใจคำว่าสะหลีเมื่อเปิดพจนานุกรมดูความหมายเดียวกับคำภาคกลางที่ว่า ศรี จึงนำมาใช้ต่อจากคำว่าดอยสุเทพ เป็นที่มาของคำว่า ดอยสุเทพเป็นศรี
“เอกลักษณ์ของเชียงใหม่อีกอย่างหนึ่งคือ มีประเพณีที่ใหญ่และงดงามเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวกันมาก จึงนำคำว่าประเพณีมาเป็นบรรทัดที่สอง คือ ประเพณีเป็นสง่า
“ส่วนคำว่าบุปผชาติล้วนงามตานั้น สมัยนั้นเชียงใหม่จัดงานไม้ดอกไม้ประดับมีชื่อเสียงแล้วแต่เรียกชื่อว่า งานบุปผชาติ รถที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ก็เรียก รถบุปผชาติ คำว่าบุปผชาติจึงเป็นคนที่นิยมและสื่อความหมายที่สวยงาม จำได้ว่าเข้าเรียนวิทยาลัยเทคโนฯปีแรก พ.ศ.๒๕๑๙ มีโอกาสมาชมขบวนรถบุปผชาติที่สวนบวกหาด
“นอกจากนี้เชียงใหม่ขณะนั้นมีชื่อเสียงเรื่องดอกไม้มาก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวดอยสุเทพในหน้าหนาวจะไปเที่ยวต่อที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ชมแปลงดอกกุหลาบที่สวยงาม มีหลายพันธ์หลายสีและหลายกลิ่น ใครได้ไปชมก็ตื่นตาตื่นใจมาก นอกจากนี้แหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่ารีสอร์ทก็ปลูกไม้ดอก เช่น แม่สาวาเลย์อำเภอแม่ริม ส่วนลัดดาแลนด์ขณะนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยมไปเที่ยว ด้านในมีแปลงไม้ดอกที่สวยงาม ด้วยเหตุนี้จึงนำคำว่า บุปผชาติมาใช้ในบรรทัดที่ ๓ คือ บุปผชาติล้วนงามตา
“บรรทัดที่ ๔ คือ นามล้ำค่านครพิงค์ คำว่า นครพิงค์เป็นคำที่ได้ยินบ่อย มักใช้เรียกรวมว่านครพิงค์เชียงใหม่ จึงนำคำนี้มาปิดท้าย
“ใช้เวลาแต่ง ๓ วัน เขียนลงในกระดาษและแต่งเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมยามที่ว่าง หากนึกยังไม่ออกก็ทำงานต่อ ว่างก็มาคิดเพิ่มจนพอใจแล้วจึงส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัล มีความภาคภูมิใจที่คำขวัญที่เราแต่งได้ใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ต่อเนื่องมา”
ปัจจุบันนายสุพจน์ นิ่มรัตนพันธ์ ทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมโดยเป็นไวยาวัจกรวัดผ้าขาวที่อยู่ใกล้บ้าน.
พล.ต.ต.อนุ เนินหาด เรียบเรียง
เข้าชม : 2365
|