.
-ยาแก้ปวดแก้อักเสบ(Non-steroidal Anti-inflammatory drugs; NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Naproxen,
Diclofenac ยากลุ่มนี้จะกําหนดให้กินหลังอาหารทันที เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร
.
-ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ(Antibiotic) ควรกินต่อเนื่องจนยาหมด หรือตามแพทย์สั่ง
ทั้งนี้มีข้อพึงสังเกตและข้อพึงระวังเนื่องจากมีการเรียก “ยาแก้อักเสบ” ในกลุ่มยาที่แตกต่างกันนั่นคือ
กลุ่มของยาปฏิชีวนะที่หลายคนเข้าใจผิดเรียกว่ายาแก้อักเสบ เพราะเมื่อมีการติดเชื้อจะมีผลให้เกิด
ลักษณะของการอักเสบ เช่น คออักเสบ แผลอักเสบ เป็นต้น การใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาต้านจุลชีพเพื่อกำจัด
เชื้อโรคจะทำให้อาการอักเสบทุเลาลง เพราะเชื้อโรคที่เป็นสาเหตถูกกำจัด
กลุ่มยาต้านการอักเสบ ซึ่งถูกต้องแล้วที่เรียกว่ายาแก้อักเสบ ยากลุ่มนี้ช่วยแก้ปวดและลดการอักเสบ
โดยตรง เช่น กลุ่มแอสไพรินหรือกลุ่มที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งใช้รักษาการอักเสบที่เกิดจากการ
บาดเจ็บเพราะการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การใช้เสียง ข้ออักเสบจากโรครูมาตอยด์ เป็นต้น
.
-ยาก่อนอาหาร ให้กินก่อนอาหาร ประมาณ 30 นาที
.
-ยาพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที มักจะเป็นยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหารมาก เช่น ยาแก้ปวดต้าน
อาการอักเสบกลุ่มแอสไพรินหรือกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ให้กินอาหารครึ่งหนึ่งแล้วกินยา แล้วจึงกินอาหาร
ต่อจนอิ่ม หรือกินอาหารคําสุดท้ายแล้วกินยาทันที พร้อมดื่มน้ำตามมากๆ
.
-ยาหลังอาหาร ควรกินหลังอาหาร 15–30 นาที
.
-ยาระหว่างมื้ออาหาร ให้กินก่อนหรือหลังอาหาร 1–2 ชั่วโมง
.
-ยาก่อนนอน กินก่อนเข้านอน 15–30 นาที กรณีที่เป็นยานอนหลับก่อนนอน เพื่อให้ผู้ป่วยนอนได้เต็มที่
โดยมากมักให้ผู้ป่วยกินก่อนถึงเวลาที่ต้องตื่นนอนประมาณ 7-8 ชั่วโมง ยานอนหลับควรใช้ตามแพทย์สั่ง
เท่านั้น เพราะยาบางตัวมีไว้สำหรับจัดการการนอนไม่หลับในช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น
.
-ยาที่กินสัปดาห์ละครั้ง กินวันใดควรกินวันนั้นทุกๆ สัปดาห์ เช่น เริ่มรับกินยาวันอาทิตย์ก็ให้กินยานั้นทุก
วันอาทิตย์ เป็นต้น
.
-ยาที่กินเมื่อมีอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวดพาราเซตามอล(Paracetamol) เช่น กิน 2 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง
เวลาปวด หมายความว่า กินครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีกแต่ยังไม่ถึง 6 ชั่วโมง
ยังไม่ควรกินยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษจากยาเกินขนาดได้
.
-กรณีลืมกินยา ให้รีบกินนาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป อย่าเพิ่ม
ขนาดยาเป็น 2 เท่าในมื้อต่อไปเป็นอันขาด เพราะอาจเกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียงตามมาได้
.
ที่มา : ดร. ภกญ. ฐนิตา ทวีธรรมเจริญ ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล